Search

คอลัมน์การเมือง - Part of the Problem or the Solution เป็นตัวปัญหาหรือตัวแก้ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

was-trend-was.blogspot.com

วลีหัวข้อของบทความนี้เป็นศัพท์การเมืองที่ใช้กันอยู่ในแวดวงการเมืองวิชาการ และสื่อมานานปี

ล่าสุด อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายบารัค โอบามา ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อนักศึกษาปีสุดท้ายของมัธยมศึกษา และนิสิตนักศึกษาปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งนี้ได้รวมถึงการแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถมีการจัดพิธีมอบประกาศนียบัตรได้อย่างเป็นทางการตามประเพณีปฏิบัติ อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 และได้ฝากความหวังและเตือนสติบัณฑิตรุ่นใหม่ถึงความรับผิดชอบต่อสังคม

อดีตประธานาธิบดีโอบามา ได้ใช้โอกาสกล่าวพาดพิงถึงการเมืองสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ในทำนองว่า กลุ่มผู้บริหารประเทศดูจะสับสนวุ่นวาย ขาดทิศทางและความรอบคอบ ในการเผชิญหน้ากับปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาโควิด-19 โดยแทนที่กลุ่มนี้จะเป็นผู้แก้ปัญหา ก็เลยกลับกลายมาเป็นตัวปัญหาเสียเอง

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยของเรา ผมก็ขอถือโอกาสแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์เชิงวิเคราะห์ ว่าใครเป็นตัวปัญหา และใครจะเป็นตัวแก้ปัญหา ซึ่งในวันนี้ ตัวปัญหาของสังคมการเมืองไทยน่าจะมีอยู่แค่ 3 ชื่อหลัก คือ ธนาธร จตุพร และประยุทธ์ ดังนี้

1. ธนาธรและคณะ เล่นการเมืองแบบชนดะ (Confrontational) และไม่เกรงกลัวที่จะทำให้เกิดความรุนแรง เป็นการเมืองแบบขาว-ดำ เอาแพ้เอาชนะกันให้ถึงที่สุด ถึงขนาดเสี่ยงขุดเรื่องเหตุการณ์รุนแรงช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกมาปลุกระดมเพิ่มเติมจากการขับไล่ทหารออกจากการเมือง (ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีในหลักการ แต่ไม่ถูกต้องทางวิธีการ)

ซึ่งหากไม่พอใจกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 แล้วทำไมจึงยอมเข้าไปเล่นในกติกาและบริบทที่ฝ่ายทหารตั้งไว้ เหตุใดไม่อยู่ข้างนอกสนาม แล้วเสนอแก้ หรือยกเครื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียใหม่ทั้งหมด ให้ได้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยแบบสากลก่อน

2. จตุพร หลังจากได้ไปนอนไตร่ตรองอยู่ในที่คุมขังเป็นครั้งที่ 2 ช่วงที่ออกจากเรือนจำมาใหม่ๆ ก็แสดงภาพว่า จะเปลี่ยนไปเป็นนักเคลื่อนไหวแบบประนีประนอม ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ แต่ล่าสุด ก็ไปปลุกผีเหตุการณ์ปี พ.ศ. 2552-53 เพื่อขุดความขัดแย้งขึ้นมาอีก โดยไม่พูดถึงสักคำว่า ทำไมการพบปะระหว่างฝ่ายรัฐบาล (คุณอภิสิทธิ์, ชำนิ และกอร์ปศักดิ์ กับคุณจตุพร วีระ และหมอเหวง) ถึงนำไปสู่การยุบสภา และมีการเลือกตั้งไม่ได้

โดยคุณจตุพรไม่เห็นเล่าว่า โทรศัพท์ที่เข้ามาแทรกระหว่างการเจรจานั้นเป็นของใคร และทำไมคุณจตุพร และคุณเหวง ถึงเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วปฏิเสธข้อเสนอการยุบสภา แลกกับการเลิกชุมนุม ทั้งๆ ที่ก่อนรับโทรศัพท์ ก็เห็นด้วยกับคุณวีระ ว่าจะรับข้อเสนอจากฝ่ายรัฐบาล เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า คุณจตุพรยังทิ้งสันดานปลุกระดมไม่ได้ และยังไม่ตัดขาดจากคุณทักษิณ เจ้านายเหนือหัว

3. คุณประยุทธ์ มีโอกาสที่จะช่วยจัดบ้านเมืองให้เรียบร้อย สร้างรากฐานประชาธิปไตยได้ถึง 2 ครั้ง ในฐานะรองหัวหน้าคณะปฏิวัติ ปี พ.ศ. 2549 และหัวหน้าคณะปฏิวัติปี พ.ศ. 2554 แต่มิได้กระทำ เว้นแต่การให้รางวัลกับตัวเองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นอกจากนั้น ยังกลับคำ มิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ไม่ได้เดินหน้าเรื่องการปรองดอง เรื่องการสรุปข้อเท็จจริงในช่วงวิกฤติการเมือง เรื่องการปฏิรูปต่างๆ ทั้งเรื่องตำรวจ เรื่องความยากจน เหลื่อมล้ำต่างๆ เป็นต้น

แล้วยังซ้ำเติมสังคมไทยโดยการเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ฉบับข้าราชการนำพา มาตอกย้ำปัญหาให้กับสังคมไทยอีก

ทั้ง 3 บุคคล จึงเป็นตัวปัญหา (Part of the Problem) ซึ่งก็เป็นการยากที่จะวิงวอนให้กลับใจ หรือเลิกรา วางมือไปจากการเมืองไทย เพราะอารมณ์ อวิชชา แห่งความยึดมั่นถือมั่นได้ฝังรากลึก และฉะนั้นรอวันเวลาที่จะต้องถูกบีบ ถูกขับไล่ โดยประชาชนไทยเข้าสักวัน

คำถามต่อมาก็คือ แล้วใครจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง หรือการปลดแอกจากประเด็นเป็นผู้นำ (Solution) ให้กับสังคมไทยเล่า?

ในความเป็นจริงนั้น สังคมไทยมิได้ขาดผู้มีความรู้เกี่ยวกับสาระเนื้อหาของสังคมไทย หรือผู้มีความห่วงใย ห่วงกังวลแม้กระทั่งมีความวิตกยิ่งต่ออนาคตไทย ทุกวงการ หรือทุกโต๊ะกินข้าวก็มีการสนทนาเรื่องการบ้านการเมืองกันอย่างกว้างขวาง คนไทยทุกระดับรู้เรื่องการเมือง รู้เรื่องฝีมือการบริหารราชการ และรู้เรื่องความถูกต้องชอบธรรม จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไปแต่สรุปว่า รู้และสนใจเรื่องการบ้านการเมืองก็แล้วกัน และอยากให้บ้านเมืองสงบด้วยการรับผิดชอบร่วมกันและก้าวหน้า

ประชาชนพลเมืองต่างตื่นรู้ เพราะส่วนหนึ่งก็คือ ได้เข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร อีกส่วนหนึ่งก็คือความประจักษ์ในชีวิตประจำวันที่ต้องหาเช้ากินค่ำ อนาคตไม่แน่นอน แล้วไม่รู้ว่าทิศทางประเทศไทยในความคิดอ่านของผู้บริหารบ้านเมืองนั้นเป็นจริงเป็นจังแค่ไหน แต่ก็มีความรู้สึกว่าบรรดาผู้บริหารมัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องของตัวเอง เห็นผู้คนเป็นแค่ตัวเลขและเครื่องเล่นทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการตื่นรู้ทางการเมืองแบบไม่เป็นรองใคร แต่รอการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีซึ่งจะเกิดขึ้นได้นั้น ผู้อยู่ในวงการต่างๆ ก็ต้องออกตัว ต้องกล้าเปลี่ยนตัวในการแสดงจุดยืน ความคิดอ่านที่สร้างสรรค์ และไม่โอนอ่อนต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่เกรงกลัวอิทธิพล ไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชั่นใดๆ ทั้งสิ้น

ผมก็ขอเรียกร้องและเชิญชวนทุกๆ คน ทุกหมู่เหล่า ให้เข้ามามีบทบาททางการเมืองภาคประชาชนกันให้มากขึ้น เพื่อร่วมกันเป็นตัวแก้ปัญหา (The Solution)

สำหรับบทเรียนนั้นก็มีเรื่องเดียวคือ ภาคประชาชนออกแรงมาหลายรอบแล้ว ก็ส่งมอบอำนาจอธิปไตยไปให้นักการเมืองหรือไม่ก็มีฝ่ายกองทัพอาสาเข้ามาขัดตาทัพ หรือครองอำนาจไปเรื่อยๆ

ต่อไปนี้ประชาชนพลเมืองก็เมื่อเรียกร้องแล้ว ก็ต้องไม่มีการส่งมอบอำนาจไปให้กลุ่มใดหรือผู้ใดกระทำการแทนอีกหากแต่จะต้องมีส่วนร่วมในความเป็นไปของประเทศไปโดยตลอดเพราะประชาชนพลเมืองเป็นเจ้าของประเทศ และเมื่อประชาชนพลเมืองแสดงความเป็นเจ้าของ ประชาชนพลเมืองก็คือตัวแก้ปัญหา เป็น Solution

กษิต ภิรมย์

kasitfb@gmail.com




July 08, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3gGy2VB

คอลัมน์การเมือง - Part of the Problem or the Solution เป็นตัวปัญหาหรือตัวแก้ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://ift.tt/3h4AeY4


Bagikan Berita Ini

0 Response to "คอลัมน์การเมือง - Part of the Problem or the Solution เป็นตัวปัญหาหรือตัวแก้ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"

Post a Comment

Powered by Blogger.